ท่านทั้งหลายเกิดมาแล้ว ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป ทุกข์ก็ไม่จีรังยั่งยืน สุขก็ไม่จีรังยั่งยืน กายทุกข์ แต่เราเอาจิตไปทุกข์ด้วย เพราะเราไม่พิจารณา เมื่อเจ็บป่วย ไม่สบายก็อยากให้กายหายเร็วๆ เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เพียงเรารู้เท่าทัน พิจารณาให้เห็นจริง กายทุกข์ได้แต่ไม่ส่งใจไปยึดมั่นถือมั่น กับกายของเราจนเกินไป มั่นสร้าง มั่นทำความดีให้เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่พลัดวันประกันพรุ่ง เพราะเราไม่รู้ ว่าวันพรุ่งนี้เราจะมีโอกาส ได้สร้างความดีหรือไม่ เมื่อร่างกายแข็งแรงดีให้รีบทำ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งกรรมฐาน เราสัมผัสสิ่งใดให้พิจารณา ได้ยินเสียงก็พิจารณาว่ามีประโยชน์ หรือมีโทษ เช่น เขาทะเลาะกันเราก็ไม่ฟัง เพราะไม่เกิดประโยชน์ หากเขาสวดมนต์ หรืออ่านบทความ วิชาการหรือที่เกี่ยวข้องกับการงาน เราควรฟังเพื่อพัฒนาตนเองต่อไป หากตาของเราไปรับรู้เห็นรูป ก็พิจารณาว่ามีประโยชน์หรือเกิดโทษ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นจนเกิดไปทำแต่พอดี เดินทางตามทางสายกลาง ที่พระพุทธองค์ ที่ได้ถากถางทางไว้ดีแล้วเราเป็นผู้ที่ เดินตามทางที่วางไว้ ไม่เดินไปนอกทาง จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าประมาทในบุญ หากมีโอกาส ให้ทำทันที ตามกำลังเท่าที่จะทำได้ คนเราไม่ว่าจะร่ำรวยหรืออยากจน จะมีการศึกษาสูงหรือการศึกษาน้อย ไม่ได้เป็นปิดกันการทำบุญกุศล ให้ตามกำลังของแต่ละบุคคล ทำในขณะที่เรายังเดินไปทำบุญได้ หากร่างกายไม่เอื้ออำนวยแล้ว แม้อยากทำบุญก็เป็นเรื่อง ลำบากของเรา ท่านจึงไม่ให้ประมาท ในการสร้างบุญ